เมื อระบบประมวลผลเปลี ยนไป อัลกอริธึมก็เปลี ยนตาม
แนวคิด ควอนตัมคอมพิวเตอร์ (Quantum Computer) เป็นสิ่งที่พูดกันมานานแล้ว แต่ควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่วางขายในเชิงพาณิชย์เพิ่งวางขายเป็นครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
แนวคิดของควอนตัมคอมพิวเตอร์จะเข้าใจยากสักหน่อย แบบสั้นๆ คือคอมพิวเตอร์ปกติจะมีหน่วยย่อยที่สุดเป็น "บิต" (bit) ซึ่งมีสถานะเป็น 1 หรือ 0 อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่กรณีของควอนตัมคอมพิวเตอร์จะใช้หน่วยย่อยที่ต่างออกไปคือ "คิวบิต" (qubit) ซึ่งมีสถานะเป็น 1 และ 0 พร้อมกันได้ (ตามหลักของกลศาสตร์ควอนตัม) ทำให้วิธีการประมวลผลต่างออกไปจากคอมพิวเตอร์ปกติ และแก้ปัญหาที่คอมพิวเตอร์ปกติต้องใช้เวลานานมากในการประมวลผลได้เร็วขึ้น มาก
สำหรับข่าวนี้คือบริษัท D-Wave ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับควอนตัมคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่ปี 1999 ได้ประกาศความสำเร็จในการผลิตคอมพิวเตอร์ D-Wave One ซึ่งเป็นควอนตัมคอมพิวเตอร์เชิงพาณิชย์ เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับขายจริงไม่ใช่การทดลองหรือเดโม
เครื่องคอมพิวเตอร์ D-Wave One ระบุว่าใช้ซีพียูขนาด 128 คิวบิต ทำงานในอุณหภูมิที่ต่ำมากๆ คอมพิวเตอร์ทั้งเครื่องมีขนาดดังภาพ และต้องอยู่ในห้องขนาด 10 ตารางเมตรที่ห่อหุ้มมิดชิด รายละเอียดอย่างอื่นของ D-Wave One ยังมีไม่เยอะนัก

ลูกค้ารายแรกที่สั่งซื้อระบบนี้คือบริษัทผลิตอาวุธและเครื่องบิน Lockheed Martin ถ้าอยากได้บ้างต้องจ่ายเงินเครื่องละ 10 ล้านดอลลาร์ครับ
ความเร็วที่เราใช้ประมวลผลคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันยังช้าเกินไปเมื่อเทียบกับข้อมูลอันมากมาย ล้นหลาม ที่หลั่งทะลักท่วมท้นยุคสมัยสารสนเทศอยู่ในขณะนี้ ย้อนหลังไปในปี 1947 วิศวกรคอมพิวเตอร์ชาวอเมริกัน ชื่อ นาย โฮเวิร์ด ไอเก็น (Howard Aiken) ได้กล่าวกับฟิสิกส์ราชมงคลไว้ว่า ในขณะนั้นอเมริกามีคอมพิวเตอร์ที่พอจะใช้ได้เพียง 6 เครื่อง ซึ่งไม่เป็นการเพียงพอในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และงานประยุกต์อันหลากหลายทางวิศวกรรม
อย่างไรก็ตาม ถ้านายไอเก็นยังมีชีวิตอยู่จนถึง ปีค.ศ. 2000 คงคิดไปไม่ถึงว่า คอมพิวเตอร์ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากมาย แม้แต่คนในบ้านยังมีใช้ หรือเด็กเล็กๆ ก็มีคอมพิวเตอร์ส่วนตัวใช้ โดยมีการสื่อสารผ่านทางอินเตอร์เน็ตเป็นแรงขับดันให้มีการใช้คอมพิวเตอร์มากขึ้น คอมพิวเตอร์ในตอนนี้มีความเร็วมากกว่าเครื่องในตอนแรกเป็นล้านเท่า และความเร็วก็กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
คำถามว่า
ความเร็วของคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มขึ้นจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน
จากกฎของมัวส์ (Moore's Law)
ที่ทำนายไว้ว่า จำนวนทรานซิสเตอร์ใน ไมโครโพเซสเซอร์
จะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 2 เท่าในทุกๆ
18 เดือน
มันพิสูจน์ให้เห็นจริงแล้วว่าถูกต้อง
ถ้าเป็นไปตามความเร็วนี้ ปี 2020
หรือ 2030
วงจรอิเล็กทรอนิกส์ในไมโครโพเซสเซอร์ จะมีขนาดเล็กจนถึงระดับอะตอม
และเมื่อถึงตอนนั้นเราสามารถสร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ขึ้นใช้งานได้
ซึ่งมันใช้ความสามารถระดับอะตอม และโมเลกุล
เป็นตัวเก็บข้อมูล และนำมาประมวลผล
ความเร็วของควอนตัมคอมพิวเตอร์จะมากกว่า
คอมพิวเตอร์ที่ทำจากซิลคิอนนับเป็นพันล้านเท่า
นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ต้นแบบขึ้นสำเร็จแล้ว แม้ว่าขณะนี้ มันเพียงแต่คำนวณตัวเลขง่ายๆได้ แต่ฟิสิกส์ราชมงคลเชื่อว่า มันกำลังได้รับการพัฒนา จากนักวิทยาศาสตร์ชั้นยอดของโลก และ ไม่นานนักมันจะเป็นจุดเปลี่ยนของคอมพิวเตอร์ในยุคหน้า
เทอริ่งแมสชีน เป็นเครื่องจักรที่พัฒนาขึ้นโดย นาย อลัน เทอริ่ง (Alan turing ) ในปี 1930 ภายในประกอบด้วยม้วนเทป ใช้สำหรับบันทึกข้อมูล และมีหัวอ่านข้อมูลเมื่อเทปวิ่งผ่าน เป็นสัญญาณ 0 กับ 1 และแปรสัญญาณไปควบคุมเครื่องจักรอีกทีหนึ่ง โดยทำตามคำสั่ง 1 ครั้งต่อ 1 คำสั่ง
ขณะที่ ควอนตัมเทอริ่งแมสชีน ใช้พื้นฐานแบบเดียวกัน เพียงแต่ลดหัวอ่านเทป ให้มีขนาดเล็กลงอยู่ในระดับอะตอมแทน ซึ่งในระดับขนาดเล็กแบบนั้น ไม่ต้องทำงานเป็นอนุกรมเหมือนกับสายเทป และสามารถทำงานได้หลายคำสั่งในครั้งเดียว
คอมพิวเตอร์ของเทอริ่งในยุคแรกทำงานอยู่ได้เพียง 2 สถานะ คือ 0 กับ 1 ส่วนควอนตัมคอมพิวเตอร์ไม่ได้จำกัดการทำงานอยู่เพียง 2 สถานะนี้เท่านั้น ในระดับควอนตัมเราเรียกสถานะใหม่ว่า คิวบิท (qubits) ซึ่งสามารถแสดงสถานะ 1 หรือ 0 ได้ หรืออยู่ระหว่าง 1 กับ 0 ได้ทุกๆค่า หรือจะแบ่งซอยย่อยเป็นกี่พันกี่ล้านค่าก็ได้ คิวบิทคืออะตอมที่เป็นตัวเก็บ และประมวลผลข้อมูล ที่มีความสามารถอยู่ได้หลายสถานะในเวลาเดียวกัน
สถานะอันมากมายของคิวบิท ทำให้ควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถทำการประมวลผลแบบขนานได้ ดังคำพูดของนักฟิสิกส์ นาย เดวิด ดอยส์ (David deutsch) ที่ว่า การประมวลผลแบบขนาน จะทำให้ควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถประมวลผลคำสั่งนับล้านคำสั่งได้ในครั้งเดียว ขณะที่คอมพิวเตอร์ทั่วไป ต้องทำทีละคำสั่ง ดังนั้น ควอนตัมคอมพิวเตอร์ขนาด 30 คิวบิท เมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์แบบเดิม จะเทียบเท่ากับความเร็ว 10 เทราฟลอบ (Teraflops) ซึ่งซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันที่มีความเร็วสูงสุด มีอยู่เพียง 2 เทราฟลอบ คือมากว่าถึง 5 เท่า
ควอนตัมคอมพิวเตอร์ใช้คุณสมบัติทางควอนตัมที่เรียกว่า เอนแทงเกิลเมนต์ (entanglement) ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในระดับอะตอม โดยให้แรงภายนอกกระทำกับอะตอม 2 ตัวที่อยู่ใกล้กัน จะทำให้เกิดการ เอนแทงเกิลขึ้น แต่ถ้าอะตอมอยู่โดดเดี่ยว อะตอมตัวนั้นสามารถหมุนไปได้ทุกทิศทุกทาง จากการทดลองกับอะตอมสองตัวที่อยู่ใกล้กัน โดยให้ตัวแรกหมุนไปในทิศทางหนึ่ง ในขณะเดียวกันอะตอมที่สองจะหมุนไปในทิศตรงกันข้ามโดยอัตโนมัติ
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ นักฟิสิกส์สามารถสร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ขนาด 7 คิวบิทได้สำเร็จ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และสามารถคำนวณตัวเลขง่ายๆได้ ต่อไปนี้เป็นโครงการที่นักวิจัยกำลังดำเนินการอยู่
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่กำลังรอประมวลผล เมื่อใช้ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ต้องใช้เวลาหลายเดือน เมื่อมาใช้ควอนตัมคอมพิวเตอร์ใช้เวลาเพียงแว๊บเดียว และการเคลื่อนย้ายมนุษย์ ที่เรียกว่า วิธีเทเลพอเทชั่น ก็สามารถกระทำได้ในเร็ววันนี้
แนวคิด ควอนตัมคอมพิวเตอร์ (Quantum Computer) เป็นสิ่งที่พูดกันมานานแล้ว แต่ควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่วางขายในเชิงพาณิชย์เพิ่งวางขายเป็นครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
แนวคิดของควอนตัมคอมพิวเตอร์จะเข้าใจยากสักหน่อย แบบสั้นๆ คือคอมพิวเตอร์ปกติจะมีหน่วยย่อยที่สุดเป็น "บิต" (bit) ซึ่งมีสถานะเป็น 1 หรือ 0 อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่กรณีของควอนตัมคอมพิวเตอร์จะใช้หน่วยย่อยที่ต่างออกไปคือ "คิวบิต" (qubit) ซึ่งมีสถานะเป็น 1 และ 0 พร้อมกันได้ (ตามหลักของกลศาสตร์ควอนตัม) ทำให้วิธีการประมวลผลต่างออกไปจากคอมพิวเตอร์ปกติ และแก้ปัญหาที่คอมพิวเตอร์ปกติต้องใช้เวลานานมากในการประมวลผลได้เร็วขึ้น มาก
สำหรับข่าวนี้คือบริษัท D-Wave ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับควอนตัมคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่ปี 1999 ได้ประกาศความสำเร็จในการผลิตคอมพิวเตอร์ D-Wave One ซึ่งเป็นควอนตัมคอมพิวเตอร์เชิงพาณิชย์ เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับขายจริงไม่ใช่การทดลองหรือเดโม
เครื่องคอมพิวเตอร์ D-Wave One ระบุว่าใช้ซีพียูขนาด 128 คิวบิต ทำงานในอุณหภูมิที่ต่ำมากๆ คอมพิวเตอร์ทั้งเครื่องมีขนาดดังภาพ และต้องอยู่ในห้องขนาด 10 ตารางเมตรที่ห่อหุ้มมิดชิด รายละเอียดอย่างอื่นของ D-Wave One ยังมีไม่เยอะนัก

ลูกค้ารายแรกที่สั่งซื้อระบบนี้คือบริษัทผลิตอาวุธและเครื่องบิน Lockheed Martin ถ้าอยากได้บ้างต้องจ่ายเงินเครื่องละ 10 ล้านดอลลาร์ครับ
ควอนตัมคอมพิวเตอร์
ความเร็วที่เราใช้ประมวลผลคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันยังช้าเกินไปเมื่อเทียบกับข้อมูลอันมากมาย ล้นหลาม ที่หลั่งทะลักท่วมท้นยุคสมัยสารสนเทศอยู่ในขณะนี้ ย้อนหลังไปในปี 1947 วิศวกรคอมพิวเตอร์ชาวอเมริกัน ชื่อ นาย โฮเวิร์ด ไอเก็น (Howard Aiken) ได้กล่าวกับฟิสิกส์ราชมงคลไว้ว่า ในขณะนั้นอเมริกามีคอมพิวเตอร์ที่พอจะใช้ได้เพียง 6 เครื่อง ซึ่งไม่เป็นการเพียงพอในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และงานประยุกต์อันหลากหลายทางวิศวกรรม
อย่างไรก็ตาม ถ้านายไอเก็นยังมีชีวิตอยู่จนถึง ปีค.ศ. 2000 คงคิดไปไม่ถึงว่า คอมพิวเตอร์ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากมาย แม้แต่คนในบ้านยังมีใช้ หรือเด็กเล็กๆ ก็มีคอมพิวเตอร์ส่วนตัวใช้ โดยมีการสื่อสารผ่านทางอินเตอร์เน็ตเป็นแรงขับดันให้มีการใช้คอมพิวเตอร์มากขึ้น คอมพิวเตอร์ในตอนนี้มีความเร็วมากกว่าเครื่องในตอนแรกเป็นล้านเท่า และความเร็วก็กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ต้นแบบขึ้นสำเร็จแล้ว แม้ว่าขณะนี้ มันเพียงแต่คำนวณตัวเลขง่ายๆได้ แต่ฟิสิกส์ราชมงคลเชื่อว่า มันกำลังได้รับการพัฒนา จากนักวิทยาศาสตร์ชั้นยอดของโลก และ ไม่นานนักมันจะเป็นจุดเปลี่ยนของคอมพิวเตอร์ในยุคหน้า
ความหมายของควอนตัมคอมพิวเตอร์
แนวคิดของควอนตัมคอมพิวเตอร์ก่อกำเนิดขึ้นเมื่อ
20 ปีที่แล้ว โดยนักฟิสิกส์ชื่อ นาย
พอล เบนเนียบ (Paul Benioff)
ผู้ซึ่งคนทั่วไปให้เครดิตเป็นคนแรกที่คิดขึ้นมาในปี 1981
นายเบนเนียบเรียกแนวคิดของเขาว่า
ควอนตัมเทอริ่งแมสชีน (Quantum turing Machine)
ซึ่ง คำว่า เทอริ่งแมสชีน
มาจากรากฐานของคอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่เทอริ่งแมสชีน เป็นเครื่องจักรที่พัฒนาขึ้นโดย นาย อลัน เทอริ่ง (Alan turing ) ในปี 1930 ภายในประกอบด้วยม้วนเทป ใช้สำหรับบันทึกข้อมูล และมีหัวอ่านข้อมูลเมื่อเทปวิ่งผ่าน เป็นสัญญาณ 0 กับ 1 และแปรสัญญาณไปควบคุมเครื่องจักรอีกทีหนึ่ง โดยทำตามคำสั่ง 1 ครั้งต่อ 1 คำสั่ง
ขณะที่ ควอนตัมเทอริ่งแมสชีน ใช้พื้นฐานแบบเดียวกัน เพียงแต่ลดหัวอ่านเทป ให้มีขนาดเล็กลงอยู่ในระดับอะตอมแทน ซึ่งในระดับขนาดเล็กแบบนั้น ไม่ต้องทำงานเป็นอนุกรมเหมือนกับสายเทป และสามารถทำงานได้หลายคำสั่งในครั้งเดียว
คอมพิวเตอร์ของเทอริ่งในยุคแรกทำงานอยู่ได้เพียง 2 สถานะ คือ 0 กับ 1 ส่วนควอนตัมคอมพิวเตอร์ไม่ได้จำกัดการทำงานอยู่เพียง 2 สถานะนี้เท่านั้น ในระดับควอนตัมเราเรียกสถานะใหม่ว่า คิวบิท (qubits) ซึ่งสามารถแสดงสถานะ 1 หรือ 0 ได้ หรืออยู่ระหว่าง 1 กับ 0 ได้ทุกๆค่า หรือจะแบ่งซอยย่อยเป็นกี่พันกี่ล้านค่าก็ได้ คิวบิทคืออะตอมที่เป็นตัวเก็บ และประมวลผลข้อมูล ที่มีความสามารถอยู่ได้หลายสถานะในเวลาเดียวกัน
สถานะอันมากมายของคิวบิท ทำให้ควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถทำการประมวลผลแบบขนานได้ ดังคำพูดของนักฟิสิกส์ นาย เดวิด ดอยส์ (David deutsch) ที่ว่า การประมวลผลแบบขนาน จะทำให้ควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถประมวลผลคำสั่งนับล้านคำสั่งได้ในครั้งเดียว ขณะที่คอมพิวเตอร์ทั่วไป ต้องทำทีละคำสั่ง ดังนั้น ควอนตัมคอมพิวเตอร์ขนาด 30 คิวบิท เมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์แบบเดิม จะเทียบเท่ากับความเร็ว 10 เทราฟลอบ (Teraflops) ซึ่งซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันที่มีความเร็วสูงสุด มีอยู่เพียง 2 เทราฟลอบ คือมากว่าถึง 5 เท่า
ควอนตัมคอมพิวเตอร์ใช้คุณสมบัติทางควอนตัมที่เรียกว่า เอนแทงเกิลเมนต์ (entanglement) ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในระดับอะตอม โดยให้แรงภายนอกกระทำกับอะตอม 2 ตัวที่อยู่ใกล้กัน จะทำให้เกิดการ เอนแทงเกิลขึ้น แต่ถ้าอะตอมอยู่โดดเดี่ยว อะตอมตัวนั้นสามารถหมุนไปได้ทุกทิศทุกทาง จากการทดลองกับอะตอมสองตัวที่อยู่ใกล้กัน โดยให้ตัวแรกหมุนไปในทิศทางหนึ่ง ในขณะเดียวกันอะตอมที่สองจะหมุนไปในทิศตรงกันข้ามโดยอัตโนมัติ
อนาคตของควอนตัมคอมพิวเตอร์
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
ทรานซิสเตอร์เข้ามาแทนที่การทำงานของหลอดสูญญากาศ
จนเดี๋ยวนี้แทบไม่มีคนใช้หลอดสูญญากาศอีก ลักษณะเช่นนี้จะเกิดขึ้นในอนาคต
ควอนตัมคอมพิวเตอร์ก็จะเข้ามาแทนที่ คอมพิวเตอร์ที่ใช้ชิพซิลิคอน
อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีในปัจจุบัน ยังไม่สามารถไปถึงจุดนั้นได้
การประมวลผลระดับควอนตัมยังต้องรอระยะเวลาอีกยาวไกลอย่างไรก็ตามในตอนนี้ นักฟิสิกส์สามารถสร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ขนาด 7 คิวบิทได้สำเร็จ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และสามารถคำนวณตัวเลขง่ายๆได้ ต่อไปนี้เป็นโครงการที่นักวิจัยกำลังดำเนินการอยู่
- เดือนมีนาคม 2000 นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัย ลอสอลาโม ประกาศว่า สามารถสร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ขนาด 7 คิวบิท ภายในหยดของเหลวได้สำเร็จ หยดของเหลวประกอบด้วย ไฮโดรเจน 6 อะตอม และคาร์บอน 4 อะตอม ควบคุมด้วยสนามแม่เหล็กจากเครื่อง NMR
- เดือนสิงหาคม 2000 นักวิจัยของ ไอบีเอ็ม ได้สร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ขนาด 5 คิวบิท จากนิวเคลียสของอะตอมฟลูออรีนจำนวน 5 อะตอม โดยใช้คลื่นวิทยุทำการโปรแกรม และใช้เครื่อง NMR ตรวจสอบสถานะของอะตอม
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่กำลังรอประมวลผล เมื่อใช้ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ต้องใช้เวลาหลายเดือน เมื่อมาใช้ควอนตัมคอมพิวเตอร์ใช้เวลาเพียงแว๊บเดียว และการเคลื่อนย้ายมนุษย์ ที่เรียกว่า วิธีเทเลพอเทชั่น ก็สามารถกระทำได้ในเร็ววันนี้
0 comments:
Post a Comment