Saturday, April 26, 2014

เพราะได้ความรู้ใหม่  จริง ๆ แล้วมันไม่ใหม่สำหรับคนอื่น ๆ แต่มันเป็นเรื่องใหม่สำหรับดิฉัน  เรื่องมันก็มีอยู่ว่า  พึ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้  ว่าไฟล์ mutimedia ใน Dropbox มันสามารถเอามาเล่นออนไลน์ผ่านในเวบได้  ทั้ง ๆ ที่ก็ใช้บริการมาตั้งนาน  เมื่อรู้จึงเอาประโยชน์จากความสามารถในการเล่นไฟล์ออนไลน์ มาประยุกต์ใช้ในเวบบล็อกของตน  ทำให้ได้เรียนรู้ Embed code สำหรับนำไฟล์ mutimedia เล่นผ่านเวบ  ดังนั้นวันนี้จึงขอแชร์ความรู้นี้ผ่านเวบบล็อก พร้อมบันทึกเก็บไว้กันลืมด้วยจ้า


Embed code สำหรับเล่น Mp3 ผ่านหน้าเวบโดยใช้  Google reader player
<embed type="application/x-shockwave-flash" wmode="transparent" src="http://www.google.com/reader/ui/3523697345-audio-player.swf?audioUrl=YOUR_MP3_FILE_ADDRESS" height="27" width="320"></embed>



โดยแทนที่ค่าต่าง ๆใน Code ดังนี้

YOURMP3FILE_ADDRESS    :  url ที่เก็บไฟล์ mp3 ที่จะนำมาเล่นในเวบไซต์หรือเวบบล็อก

width    :  ความกว้างของเครื่องมือเล่นไฟล์ mp3

height  : ความสูงของเครื่องเล่นไฟล์ mp3



Embed code สำหรับเล่นไฟล์แฟลช flv และ swf
<param name="movie" value="Flash name">
<param name="quality" value="high">
<embed src="Your_flv_swf_url " quality="high"
pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer" type="application/x-shockwave-flash" width="700"
height="322"></embed>

โดยแทนที่ค่าต่าง ๆใน Code ดังนี้

Flash name = ชื่อไฟล์แฟลชนามสกุล flv,swf

Yourflvswf_url = ลิงค์ url เก็บไฟล์แฟลช

width = ความกว้างของหน้าต่างไฟล์แฟลช

hight = ส่วนสูงของไฟล์แฟลชที่นำเสนอ

Embed code สำหรับไฟล์ประเภท Video ด้วย  Media player ไฟล์ flash video ก็สามารถใช้ Code นี้ได้ค่ะ

<embed width="425" height="344" src="Your_video_url" showcontrols="true" stretchtofit="true" pluginspage="http://www.microsoft.com/Windows/MediaPlayer/"name="MediaPlayer"autostart="true" EnablePositionControls="false" ShowPositionControls="true" type="application/x-mplayer2"></embed>

YouRVideourl =  Url ที่เก็บลิงค์ของ Video

width   = ความกว้างของหน้าต่างเครื่องเล่น Video

hight   =  ส่วนสูงของหน้าต่างเครื่องเล่น Video

autostart = เล่นอัตโนมัติ เปลี่ยนเป็น true หากจะกำหนดค่าให้วีดีโอเล่นอัตโนมัติ  หาก เปลี่ยนเป็น false ก็จะเปลี่ยนเป็นจะเล่นก็ต่อเมื่อคลิ๊กปุ่มเล่นเท่านั้น
- See more at: http://tipwithme.blogspot.com/2012/05/embed-code-flvswfvideomp3.html#sthash.EVdnSFN8.dpuf

Saturday, April 19, 2014

ผมไปเจอมาจากกลุ่ม ใน facbook ครับ เลยอยากออกมาเตือนพ่อแม่พี่น้อง
ซึ่งวิธีการสมัยนี้ช่างแนบเนียนมากขึ้นเรื่อยๆ

สมัยนี้ผมว่าเยอะและง่ายกว่านี้มีเยอะมาก ๆ ครับ ขอบคุณมากครับที่เอามาเตือน ๆ กันไว้ครับผม

ระวังไว้นะครับ Wifi free น่ากลัวเหมือนกัน

โลกนี้ชักอยู่ยากขึ้นทุกวัน ^^"
บางอย่างเหมือนจะสบาย แต่แฝงอันตรายเสมอ -*-

Tuesday, April 15, 2014


          แนวโน้มเทคโนโลยีในปี 2014 ที่คุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip โดยเฉพาะผู้ใช้สมาร์ทโฟนสายพันธุ์ Android ควรให้ความสนใจ และใส่ใจกันให้มากๆ ก็คือ Smart Phone ตกเป็นเป้าใหญ่ที่เหล่าบรรดาแฮคเกอร์จ้องโจมตี ซึ่งแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้มากมายอย่าง Android ของ Google อาจจะต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากมัลแวร์ และไวรัสต่างๆ ในปี 2014 นับพันตัวเลยทีเดียว…อะจึ๋ย!!!

แน่นอนว่า มันเป็นไปตามกระแสฮอตของสมาร์ทโฟนที่โมบายมัลแวร์ หรือไวรัสอันตรายต่างๆ จะเติบโตตามไปด้วย เนื่องจากโดยเนื้อแท้ของ “สมาร์ทโฟน” ก็คือ คอมพิวเตอร์พกพาที่สามารถรันโปรแกรมฮัลโหลที่ให้คุณโทรออกรับสายกระจายเมสเสจได้นั่นเอง ดังนั้น การที่แฮคเกอร์จะพัฒนามัลแวร์จากคอมพิวเตอร์ขึ้นไปทำงานบนสมาร์ทโฟนจึงไม่ใช่เรื่องยากลำบากแต่อย่างใด ประเด็นที่น่าตกใจมากกว่าการป่วนให้สมาร์ทโฟนมีปัญหาการทำงานก็คือ การล้วงข้อมูลส่วนตัวออนไลน์ (online identity) ที่อยู่ในเครื่อง (พาสเวิร์ด อีเมล์, บัญชีธนาคาร หมายเลขบัตรเครดิต, Facebook, Twitter, YouTube ฯลฯ โอ้ว…ยิ่งนึกยิ่งน่ากลัว) ตลอดจนการแอบใช้ฟีเจอร์บางอย่างที่อาจหมายถึงการเสียค่าบริการต่างๆ บนสมาร์ทโฟน โดยที่คุณไม่เคยได้ใช้เลยด้วยซ้ำ
protecting your android phone from malware virus etc 2 6 วิธีป้องกันมือถือ Android จากไวรัสและมัลแวร์


สมมตินะครับว่า หากใครสักเคนเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้บนสมาร์ทโฟน Android ของคุณได้ โดยเฉพาะมัลแวร์ประเภทสปายแวร์ที่ขยันรวบรวมข้อมูลส่วนตัวของคุณ เพื่อส่งออกไปให้นายมัน (แฮคเกอร์) หลังจากที่แฮคเกอร์ได้ข้อมูลเหล่านี้่ไปแล้ว พวกเขาสามารถใช้อีเมล์ของคุณ เพื่อทำการต่างๆ โดยที่คุณไม่รู้ตัวได้ หรือแม้แต่ลบอีเมล์ทั้งหมดใน Inbox ตลอดจนแอบอ่านอีเมล์ทั้งหมด รวมถึงแอบลบข้อมูลบนการ์ดหน่วยความจำ SD ก่อนที่จะแช่แข็งไม่ให้ Android Phone ของคุณทำงาได้ (brick your phone) จากสถิติปี 2011 มีรายงานผู้ใช้กว่า 250,000 ราย ตกเป็นเหยื่อของมัลแวร์บน Android เล่ามาซะยืดยาว ยังไม่ได้เข้าเรื่องสักที เพื่อความปลอดภัยของคุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip ที่น่ารักทุกท่าน โดยเฉพาะผู้ทีใช้สมาร์ทโฟน Androdi ทิปนี้จะแนะนำให้สมาร์ทโฟนของคุณปลอดภัยจากมัลแวร์ สปายแวร์ และภัยคุกคามอื่นๆ บนออนไลน์ได้ด้วยข้อปฏิบัติที่ช่วยให้คุณปลอดภัยทีสุด รวมถึงสิ่งที่ควรทำ และไม่ควรทำ ซึ่งผู้ใช้สมาร์ทโฟน Android ควรทราบเป็นอย่างยิ่ง

1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่า ระบบปฎิบัติการ และแอพฯ ที่ใช้ในสมาร์ทโฟน Android ของคุณอัพเดทแล้ว และเฟิร์มแวร์ที่ติดตั้งในเครื่องเป็นเวอร์ชันล่าสุด หากเปรียบเทียบกับร่างกายมนุษย์แล้ว ระบบปฏิบัติการที่อัพเดทจะทำหน้าที่คล้ายกับเซลล์เม็ดเล็ดขาว โดยมันจะไม่ต้อนรับแอพพลิเคชันที่ติดมัลแวร์ หรือความพยายามในการเจาะระบบของแฮคเกอร์ และเพื่อความปลอดภัยยิ่งขึ้น คุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip ควรจะอัพเกรดซอฟต์แวร์ รวมถึงการอัพเดทเฟิร์มแวร์ล่าสุดของอุปกรณ์ที่ใช้ด้วย การหมั่นอัพเดททั้ง 3 ส่วนนี้จะช่วยให้ Android Phone ของคุณปลอดภัย และแข็งแรง

*Tip:
ไม่ควรทิ้งสมาร์ทโฟนให้ทางร้านรับซ่อมทั่วไปทำการอัพเกรดซอฟต์แวร์ หรือเฟิร์มแวร์ เพราะผู้ให้บริการเหล่านี้ บางรายที่ไม่ได้ใส่ใจมากนัก อาจทำให้สมาร์ทโฟนของคุณติดไวรัส หรือแม้แต่ใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างโอกาสหาเงินผ่านมัลแวร์อันตราย โดยที่คุณไม่รู้ตัวได้เลยก็ได้

2. หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอพพลิเคชันจากผู้ให้บริการรายอื่นๆ ที่ไม่น่าเชื่อถือ (แนะนำให้ใช้บริการจาก Android Market) หรือติดตั้งจากไฟล์ .APK สำหรับคำแนะนำข้อสองนี้ก็คือ คุณควรจะติดตังแอพพลิเคชันจาก Android Market เป็นหลัก หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ต่างๆ ยิ่งกว่านั้น คุณไม่ควรติดตั้งแอพพลิเคชันผ่านไฟล์ .APK เนื่องจากคุณจะไม่รู้เลยว่าภายในโค้ดของไฟล์ APK (ไฟล์แพคเกจติดตั้งแอพที่รวมทุกอย่างไว้แล้ว สามารถก็อปปี้เข้าไปในมือถือ สามารถติดตั้งผ่านไฟล์แมแนเจอร์ได้) มีอะไรซุกซ่อนอยู่ ซึ่งอาจหมายถึงมัลแวร์ก็ได้ โดยผลลัพธ์ก็มีตั้งแต่แช่แข็งเครื่องไปจนถึงล้วงข้อมูลส่งให้แฮคเกอร์
protect your android phone with 5 easy steps 2 6 วิธีป้องกันมือถือ Android จากไวรัสและมัลแวร์

3. อ่านรีวิว และคอมเมนต์จากผู้ใช้ก่อนคลิกปุ่มติดตั้ง (Install) แอพฯ ประเด็นนี้ ทางกองบรรณาธิการเว็บไซต์ arip มักจะเน้นย้ำเสมอกับผู้อ่าน เรียกได้ว่า เวลาที่หยิบยกเรื่องของการดูแลสมาร์ทโฟนให้ปลอดภัย เป็นต้องพูดถึงทุกครั้งไป แต่ก็อะไรที่ผู้ใช้มักจะละเลย ดังนั้น ขอให้บอกกับตัวเองทุกครังว่า ก่อนจะคลิกปุ่ม Download บนหน้าติดตั้งแอพฯ ใดๆ ก็ตาม เลื่อนหน้าลงที่เซ็คชั่นรีวิวโดยผู้ใช้ แล้วอ่านสิ่งที่พวกเขาพูดถึงกันเสียก่อนว่า เขาพูดถึงมันอย่างไร? เช่น มีปัญหาการใช้งาน ไปจนถึงการแจ้งระวังมัลแวร์ และหากต้องการมั่นใจยิ่งขึ้นก็คลิกไปดูเว็บไซต์บริษํทผู้พัฒนาแอพฯ นั้นๆ ด้วย เพื่อตรวจสอบอีกชั้นว่า มันมีอยู่จริง และเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับแอพฯ นี้ รวมถึง มันเป็นบริษัทใหม่ที่เพิ่งปล่อยแอพฯ ตัวนี้ หรือเปล่า? หรือทำแอพฯ มากี่ตัวแล้ว? มีผู้ใช้ดาวน์โหลดเยอะแค่ไหน? ส่วนใหญ่แสดงความคิดเห็นไปในทางบวก หรือลบ? นอกจากอ่านรีวิว+คอมเมนต์ผู้ใช้ และตรวจสอบเว็บไซต์เจ้าของแอพฯ แล้ว คุณอาจจะลองเสิร์ชชื่อแอพฯ นี้บนเว็บไซต์ Google เพื่อตรวจสอบการรีวิวจากเว็บไซต์ หรือบล็อกทางด้านเทคโนโลยีดังๆ เพื่อยืนยันความปลอดภัย และคุณภาพของแอพฯ นั้นๆ อีกชั้นหนึ่ง

4. ตรวจสอบนโยบายความเป็นส่วนตัว และการขออนุญาตต่างๆ ของแอพฯ (Permission & Privacy Policy) ก่อนติดตั้งแอพฯ แนะนำให้คุณอ่านนโยบายความเป็นส่วนตัว และความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ บนสมาร์ทโฟนของคุณ โดยแอพฯ ที่คุณต้องการจะติดตั้งด้วย ซึ่งคุณต้องตรวจสอบว่า แอพฯ ที่จะติดตั้งเข้าไปนั้นมีการร้องขอสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลอะไรบ้าง? มันสมควร หรือไม่? เช่น หากแอพฯ ที่ติดตั้งเป็นเกมส์หมากรุก แต่มันขอเข้าถึงบัญชีผู้ใช้อีเมล์ และรายชื่อในคอนแทคส์ มันก็แปลกมากๆ ที่ต้องขอขนาดนี้ เพราะไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงานของโปรแกรมแม้แต่น้อย
protecting your android phone from malware virus etc 3 6 วิธีป้องกันมือถือ Android จากไวรัสและมัลแวร์


5. จงระวังในขณะที่เชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi สาธารณะ เมื่อคุณมีความจำเป็นต้องเชื่อมต่อสู่โลกอินเทอร์เน็ตด้วย Android Phone ผ่านบริการ WI-Fi สาธารณะ (อาทิ ร้านกาแฟ โรงแรม สนามบิน หรือแม้แต่ห้องสมุด) แนะนำว่า คุณควรจะเลือกเปิดกิจกรรมบนอินเทอร์เน็ตเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ที่เน้นย้ำ และขอแนะนำเป็นสิ่งแรกคือ ปิด Sync และแอพพลิเคชันทั้งหมดที่กำลังรันอยู่ แต่คุณไม่ได้จำเป็นต้องใช้ในขณะนั้น เนื่องจากปัจจุบันมีสคริปท์อันตรายอย่าง Firesheep ที่คอยดักจับยูสเซอร์เนม และพาสเวิร์ดที่มีการส่งผ่านการเชื่อมต่อ WI-Fi สาธารณะขณะนั้น สำหรับกิจกรรมที่ขอเน้นย้ำว่าไม่ควรทำขณะใช้บริการ Wi-Fi สาธารณะก็คือ ไม่ควรดาวน์โหลดแอพฯ ใช้บริการธนาคารออนไลน์ เฟซบุ๊ค (facebook) หรืออีเมล์…เราเตือนคุณแล้วนะ


6. ติดตั้งแอพระบบรักษาความปลอดภัยที่สามารถสแกนไวรัส และสปายแวร์ได้ ท้ายที่สุดของคำแนะนำในการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับสมาร์ทโฟน Android ซึ่งดูเหมือนจะเป็นขอปฏิบัติที่สำคัญมาก นั่นก็คือ คุณควรติดตั้งแอพพลิเคชันแอนตี้ไวรัสที่มีประสิทธิภาพให้กับ Android Phone ของคุณด้วย โดยทั่วไป แอพฯที่เลือกใช้ควรจะสามารถสแกนการ์ดหน่วยความจำ SD บนมือถือได้หมดทั้งไฟล์ที่ไม่จำเป็น ไฟล์คำสั่งที่ทำงานได้ (executables) โฟลเดอร์ขยะ และข้อมูลชั่วคราว (temp data) ทั้งนี้แอพฯ รักษาความปลอดภัยบนแพลตฟอร์ม Android จะมีทั้งของฟรี และเสียเงิน ซึ่งสามารถหาดาวน์โหลดจากใน Android Market ได้ไม่ยาก สำหรับของฟรีที่ได้รับความนิยมใช้กันก็จะมี Lookout Mobile Security ซึ่งมันจะมีการสอดส่องทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้น Android Phone และแจ้งเตือนเมื่อใดก็ตามที่แอพพลิเคชันที่ดาวน์โหลดเป็นมัลแวร์ หรือพยายามจะติดตั้งสปายแวร์เข้าไปในระบบ นอกจากนี้ ก็จะมีแอพฯ อย่าง Norton Mobile Security lite, AVG antivirus free mobiliation, NetQueen และ Dr.Web Antivirus lite





นับว่าเป็นปัญหาสำคัญมากทีเดียว สำหรับผู้ใช้โน๊ตบุ๊ค เพราะจุดประสงค์ในการใช้งานโน๊ตบุ๊คนั้น จะเป็นเรื่องของการพกพาไปใช้งานตามที่ต่างๆ เป็นหลัก ซึ่งหากไม่สามารถที่จะชาร์จไฟเก็บประจุได้ตามปกติแล้ว เมื่อแบตฯ หมดก็ไม่ต่างอะไรไปจากเครื่องพีซีดีๆ นี่เอง เพราะหากไม่ได้ต่อไฟเลี้ยงไว้ ก็ไม่อาจใช้งานได้ เนื่องจากไม่มีไฟสำรองนั่นเอง



อย่างไรก็ดี ในกรณีที่ไม่สามารถ Charge Batt ได้ตามปกติ ก็ต้องมาดูกันตามรายอาการ ว่าเกิดจากสาเหตุใด เพราะเป็นไปได้หลายสาเหตุทีเดียว ไม่ว่าจะเกิดจากความผิดปกติของแบตฯ เองหรือจะเกิดด้วยวงจรของการควบคุมของโน๊ตบุ๊ค ที่ล้วนแต่มีผลต่อการทำงานด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นคงต้องมาดูแนวทางแก้ไขในแต่ละจุดกัน โดยเริ่มจากการตรวจสอบในแต่ละจุดกันก่อน

1
ในส่วนแรกที่น่าจะเข้าไปดูก็คือ สถานะของแบตฯ ด้วยการชาร์จไฟเข้ากับโน๊ตบุ๊ค ให้คลิกที่ไอคอนรูปแบตฯ ที่อยู่มุมขวาล่างของหน้าจอใน System tray ให้สังเกตดูว่ามีระดับการชาร์จที่ปกติหรือไม่ หากไม่ขึ้น Charge หรือสถานะของปลั๊กไฟปรากฏขึ้นก็แสดงว่าผิดปกติ

2
ในส่วนต่อมาให้เข้าไปเช็ค ด้วยการคลิกขวาที่ไอคอนแบตฯ ที่เดิม จากนั้นเลือก Windows Mobile Center แล้วดูสถานะของแบตฯ อีกครั้ง แล้วลองถอดสายชาร์จออกว่ามีอัตราการลดของแบตฯ ลงไปมากน้อยเพียงใด ซึ่งหากแบตฯ ผิดปกติ เมื่อเสียบชาร์จ อาจจะขึ้นถึง 100% แต่เมื่อถอดออก อาจจะเหลือแค่ 50% หรือน้อยกว่านั้นก็เป็นได้

3
ต่อมาให้ใช้วิธีการชาร์จแบตฯ ทิ้งไว้เป็นเวลานานๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นแบตฯ ซึ่งอาจจะปิดเครื่องไปด้วย แล้วลองดูว่าแบตฯ มีไฟเข้าหรือไม่ มากน้อยเพียงใด เพราะบางครั้งอาจเกิดจากอาการเริ่มเสื่อมของแบตฯ ส่งผลให้การชาร์จผิดปกติ

4
แต่ถ้าเกิดยังชาร์จไม่เข้า ให้ลองถอดแบตฯ ออกมาจากเครื่องเสียก่อน จากนั้นลองดูที่ขั้วต่อระหว่างแบตฯ กับบนโน๊ตบุ๊ค ว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ อย่างเช่น เกิดสนิมหรือ Oxide เกาะมาก จนหน้าสัมผัสไม่สามารถทำงานได้หรือเกิดการแตกหักเสียหายในส่วนใด ซึ่งส่วนใหญ่มักจะไม่พบความเสียหายรูปแบบนี้มากนัก ยกเว้นเกิดจากอุบัติเหตุ

5
แต่หากอาการผิดปกติหายไป ก็อาจจะใช้วิธีการ Calibrate Batt ด้วยการเข้าไปที่ ACPI Compliant Control Method Battery ในระบบ เพื่อที่จะช่วยให้การ Charge Batt ดีขึ้น อย่างน้อยก็ช่วยคืนสภาพของ แบตฯ ให้กลับคืนมาได้บ้าง

6
ในกรณีที่ได้ทราบแล้วว่าเกิดปัญหาที่แบตฯ โดยเฉพาะไม่สามารถเก็บประจุได้ ก็อาจจะใช้วิธีเปลี่ยนไส้แบตฯ หากไม่มีงบประมาณมากพอหรือรุ่นที่ใช้หมดไปจากตลาดไม่สามารถหาแบตฯ มาแทนได้หรือถ้าเป็นรุ่นที่ยังพอมีของ อาจจะสั่งจากศูนย์มาก็ดูจะใช้งานได้สบายใจยิ่งขึ้น เพราะมีประกัน แต่ถ้างบไม่มาก ก็อาจจะเลือกจากผู้ผลิตแบตฯ ยี่ห้อต่างๆ ที่มีจำหน่ายอยู่มากมาย ก็สามารถเชื่อถือได้ดีพอสมควร


แบตเตอรี่แบบ Lithium-ion (Li-ion) เป็นแบตเตอรี่ที่ทุกคนรู้กันนะครับว่ามีความสามารถในการเก็บประจุสูงและการ ปล่อยพลังงานเองต่ำ(แบตลดลงต่ำเมื่อไม่มีการใช้งานเช่นการปิดเครื่อง) แต่ถึงแม้ Li-ion จะถูกใช้เป็นแบตเตอรี่ประเภทหลักในอุตสาหกรรมอุปกรณ์เคลื่อนที่ในวันนี้ ค่าสารเคมีที่ถูกกำหนดในตัวแบตเตอรี่ Li-ion ก็ยังคงเป็นเช่นเดิมเหมือนเมื่อ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา งานวิจัยใหม่จาก คณะวิศวกรรมศาสตร์ University of Tokyo ร่วมกับ University of Kyoto และ Japan’s National Institute for Materials Science อาจทำให้สารเคมีที่ใช้ในการสร้างแบตเตอรี่ Li-ion เปลี่ยนไป เนื่องจากได้ค้นพบสารอิเล็กโทรไลใหม่ที่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในเซลล์ Li-ion โดยอิเล็กโทรไลใหม่นี้มีความสามารถทั้งในการเกิดปฏิกิริยาที่สูงและสามารถ ต้านทานต่อการย่อยสลายได้อย่างดี
li-ion-300-per
 ด้วยอิเล็กโทรไลใหม่นี้จะช่วยให้การพัฒนา แบตเตอรี่ Li-ion มีความก้าวหน้ามากขึ้นทำให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว ขึ้นและให้พลังงานได้มากกว่าหากเทียบกับอิเล็กโทรไลแบบเก่า โดยนักวิจัยได้มองถึงการลดลงของเวลาที่จะใช้ในการชาร์จได้โดยการเพิ่มแรงดัน เครื่องชาร์จจากที่ปกติอยู่ที่ 3V เป็น 5V ถือได้ว่างานวิจัยชิ้นนี้เป็นก้าวใหญ่สำหรับการพัฒนาแบตเตอรี่ที่ย่ำอยู่กับ ที่มาเกือบ 2 ทศวรรษได้เลยครับ เพราะไม่เพียงแต่จะสามารถนำไปใช้กับอุปกรณ์เคลื่อนที่อย่างเดียว แต่ทางนักวิจัยยังคิดที่จะขยายผลไปยังตลาดด้านอื่นเช่น แบตเตอรี่รถยนต์ ด้วยอีกครับ
ช่วยให้เวลาที่ใช้ในการชาร์จแบตเตอรี่ Li-ion ลดลง





ช่วงหลายปีที่ผ่านมาสมาร์ทโฟนถือเป็นอุปกรณ์ที่ปฏิวัติวงกรเทคโนโลยีอย่าง ชัดเจนทั้งในแง่ของจอแสดงผลหรือฟีเจอร์การทำงานต่างๆ แต่ในส่วนของแบตเตอรี่กลับเป็นเรื่องที่กลายเป็นปัญหาอย่างต่อเนื่องสำหรับ ผู้ใช้ ซึ่งในอนาคตอันใกล้ผู้ใช้ต่างคาดหวังว่าแบตเตอรี่จะได้รับการพัฒนาให้มี ประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น

ผลวิจัยล่าสุดของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว ที่ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเกียวโต และสถาบันวัสดุศาสตร์แห่งชาติญี่ปุ่น ได้ค้นพบวิธีเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแบตเตอรี่ Lithium-ion (Li-ion) จากการค้นพบสารอิเล็กโทรไลต์รูปแบบใหม่ ซึ่งเมื่อนำเป็นส่วนผสมบวกกับกระบวนการในการทดลองร่วมกับแบตเตอรี่ Li-ion จะช่วยเพิ่มแรงดันไฟไฟ้จากมาตรฐานเดิม 3V ไปเป็น 5V และช่วงเร่งความเร็วในการชาร์จเพิ่มขึ้นถึง 300%

ซึ่งจากการวิจัยดังกล่าวจะเริ่มมีการทดสอบในกับอุตสาหกรรมยานยนต์ระบบไฟฟ้า ก่อนจะมีการเริ่มพัฒนาเพื่อให้แบตเตอรี่ Li-ion แบบใหม่สามารถใช้ได้กับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตต่อไปในอนาคต

แบตเตอรี่ Lithium-ion (Li-ion) เป็นแบตเตอรี่ที่นิยมใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน เช่น โน้ตบุ๊ค, iPhone, iPod, กล้องดิจิตอล และอุปกรณ์อีกหลายชนิด มีจุดเด่นอยู่ที่อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานกว่า ทำจากโลหะที่เบาที่สุด 


แน่ใจหรือว่าคอมพิวเตอร์ปลอดภัยจากภัยคุกคามออนไลน์



ปัจจุบันการใช้งานคอมพิวเตอร์มีความเสี่ยงกับภัยอันตรายต่างๆ มากมายค่อนข้างสูงมาก สืบเนื่องจากการใช้งานไม่ได้อยู่แค่คอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว แต่มีการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์อื่นๆ ทั่วโลกผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นการเปิดช่องทางหรือเปิดประตูให้ผู้ไม่ประสงค์ดี สามารถเข้ามาบุกรุกได้ตลอดเวลา ดังนั้น การสร้างเกาะกำบัง หรือมีเวรยามรักษาการดูจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว แต่ที่เราสำคัญ เราผู้ใช้งาน จำเป็นจะต้องเรียนรู้และเข้าใจวิธีการป้องกันเบื้องต้นว่า จะมีวิธีการอย่างไร และคอมพิวเตอร์ของเราได้เปิดความสามารถนั้นๆ แล้วหรือไม่ 
มาตรวจสอบคอมพิวเตอร์ของเรากันด้วยตัวเองดีกว่าด้วย รายการตรวจสอบหรือ Checklist เพื่อให้เพื่อนๆ เข้าใจและสามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเองว่า คอมพิวเตอร์ของเราปลอดภัยหรืออยู่ในสถานะเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน สำหรับรายละเอียดนี้ สามารถค้นหาได้จาก Windows 7

6 สิ่งที่ต้องตรวจสอบในเรื่องของความปลอดภัย

windows7 security checklist
windows7 security checklist
  1. Action Center
    เครื่องมือในการตรวจสอบ จัดการ และแจ้งให้ผู้ใช้งาน Windows ทราบว่า ขณะนี้คอมพิวเตอร์ของเรามีความเสี่ยงในการใช้งานอย่างไร พร้อมมีข้อแนะนำให้ปฏิบัติด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าคอมพิวเตอร์ของเราไม่ได้ติดตั้งโปรแกรม Anti-virus ในส่วนของ Action Center ที่มีสัญลักษณ์รูปธง ก็จะมีเครืองหมายกากบาทสีแดงแสดงให้เห็น
  2. Windows Firewall
    โปรแกรมสำคัญในการช่วยป้องกันจากแฮ็กเกอร์ และภัยจากผู้บุุกรุกโดยตรง แต่ไม่สามารถป้องกันไวรัสได้น่ะครับ เรื่องนี้คนละส่วนกัน Firewall สามารถสั่งเปิดและปิดได้ ดังนั้น ถ้าเราไม่ได้เปิดใช้งาน แนะนำให้เปิด Firewall On โดยด่วน
  3. Windows Defender
    โปรแกรมฟรี แอนตี้ไวรัสจาก Microsoft โดยตรง ผู้ใช้งาน Windows แท้ สามารถดาวน์โหลดและอัพเดทได้ฟรีตลอดอายุการใช้งาน ดังนั้น สำหรับผู้ที่ไม่ได้ซื้อ แอนตี้ไวรัสจากค่ายอื่นๆ แนะนำให้ดาวน์โหลดไปใช้งานโดยด่วน
  4. Windows Update
    สืบเนื่องจากตัวระบบปฏิบัติการ Windows เอง อาจพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์มาก อาจมีช่องโหว่ที่ทำให้แฮ็กเกอร์สามารถเจาะเข้ามาได้ ดังนั้น ทาง Microsoft ก็จะมีการพัฒนาเพิ่มเติม เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ การอัพเดท Windows จึงมีความจำเป็นอย่างมากในการช่วยป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้ โดยปกติ เราสามารถอัพเดทผ่านออนไลน์ได้ตลอดเวลาผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
  5. Backup and Restore
    การใช้งานคอมพิวเตอร์สิ่งหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา นั่นคือ ปัญหาของไวรัสและฮาร์ดแวร์เอง ดังนั้น การสำรองข้อมูลหรือ Backup จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้ใข้งานคอมพิวเตอร์ทุกคน ควรตระหนักไว้ให้ดี ไม่ควรเก็บข้อมูลไว้บนคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว การสำรองสู่อุปกรณ์ภายนอกอย่าง USB External Hard Disk น่าจะเป็นทางเรื่องที่ง่าย สะดวก และปลอดภัยอย่างหนึ่ง ปัจจุบันราคาของอุปกรณ์นี้ก็ค่อนข้างถูกมากเช่นกัน
  6. User Access Control
    อีกหนึ่งเครื่องมือในการ ควบคุมการป้องกันไวรัสหรือภัยจากการติดตั้งโปรแกรมอันไม่พึงประสงค์ได้เป็น อย่างดี  หลายๆ คนคงเคยประสบปัญหาว่า มีโปรแกรมแปลกๆ ติดตั้งในคอมพิวเตอร์ของเรา ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ติดตั้งเอง ทั้งนี้ อาจเกิดจากการที่เราเลือกดาวน์โหลดไฟล์จากเว็บไซต์ต่างๆ ที่มักจะมีการแถมโปรแกรมอื่นๆ เข้ามาแบบอัตโนม้ติ
เพียงทำตามและปรับแต่งการใช้งานตามรายละเอียดข้างต้น เราก็สามารถลดปัญหาการบุกรุกและสร้างความปลอดภัยให้คอมพิวเตอร์ของเราได้ อย่างมากเลยทีเดียว ใครที่ไม่แน่ใจก็ลองกลับไปตรวจสอบคอมพิวเตอร์ของตัวเองดูได้เลยครับ
คุณทราบหรือไม่ว่า Checklist เรื่องความปลอดภัยข้างต้น ถึงแม้ว่าจะเป็นของ Windows 7 ก็ตาม แต่สำหรับ Windows เวอร์ชั่นอื่นๆ ก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการตรวจสอบได้เช่นกัน
เมื อระบบประมวลผลเปลี ยนไป อัลกอริธึมก็เปลี ยนตาม

แนวคิด ควอนตัมคอมพิวเตอร์ (Quantum Computer) เป็นสิ่งที่พูดกันมานานแล้ว แต่ควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่วางขายในเชิงพาณิชย์เพิ่งวางขายเป็นครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
แนวคิดของควอนตัมคอมพิวเตอร์จะเข้าใจยากสักหน่อย แบบสั้นๆ คือคอมพิวเตอร์ปกติจะมีหน่วยย่อยที่สุดเป็น "บิต" (bit) ซึ่งมีสถานะเป็น 1 หรือ 0 อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่กรณีของควอนตัมคอมพิวเตอร์จะใช้หน่วยย่อยที่ต่างออกไปคือ "คิวบิต" (qubit) ซึ่งมีสถานะเป็น 1 และ 0 พร้อมกันได้ (ตามหลักของกลศาสตร์ควอนตัม) ทำให้วิธีการประมวลผลต่างออกไปจากคอมพิวเตอร์ปกติ และแก้ปัญหาที่คอมพิวเตอร์ปกติต้องใช้เวลานานมากในการประมวลผลได้เร็วขึ้น มาก
สำหรับข่าวนี้คือบริษัท D-Wave ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับควอนตัมคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่ปี 1999 ได้ประกาศความสำเร็จในการผลิตคอมพิวเตอร์ D-Wave One ซึ่งเป็นควอนตัมคอมพิวเตอร์เชิงพาณิชย์ เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับขายจริงไม่ใช่การทดลองหรือเดโม
เครื่องคอมพิวเตอร์ D-Wave One ระบุว่าใช้ซีพียูขนาด 128 คิวบิต ทำงานในอุณหภูมิที่ต่ำมากๆ คอมพิวเตอร์ทั้งเครื่องมีขนาดดังภาพ และต้องอยู่ในห้องขนาด 10 ตารางเมตรที่ห่อหุ้มมิดชิด รายละเอียดอย่างอื่นของ D-Wave One ยังมีไม่เยอะนัก


ลูกค้ารายแรกที่สั่งซื้อระบบนี้คือบริษัทผลิตอาวุธและเครื่องบิน Lockheed Martin ถ้าอยากได้บ้างต้องจ่ายเงินเครื่องละ 10 ล้านดอลลาร์ครับ


ควอนตัมคอมพิวเตอร์
    
       ความเร็วที่เราใช้ประมวลผลคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันยังช้าเกินไปเมื่อเทียบกับข้อมูลอันมากมาย ล้นหลาม ที่หลั่งทะลักท่วมท้นยุคสมัยสารสนเทศอยู่ในขณะนี้  ย้อนหลังไปในปี  1947   วิศวกรคอมพิวเตอร์ชาวอเมริกัน ชื่อ  นาย โฮเวิร์ด ไอเก็น  (Howard  Aiken)  ได้กล่าวกับฟิสิกส์ราชมงคลไว้ว่า   ในขณะนั้นอเมริกามีคอมพิวเตอร์ที่พอจะใช้ได้เพียง  เครื่อง  ซึ่งไม่เป็นการเพียงพอในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์   และงานประยุกต์อันหลากหลายทางวิศวกรรม  
       อย่างไรก็ตาม ถ้านายไอเก็นยังมีชีวิตอยู่จนถึง ปีค.ศ.  2000 คงคิดไปไม่ถึงว่า คอมพิวเตอร์ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากมาย แม้แต่คนในบ้านยังมีใช้   หรือเด็กเล็กๆ  ก็มีคอมพิวเตอร์ส่วนตัวใช้  โดยมีการสื่อสารผ่านทางอินเตอร์เน็ตเป็นแรงขับดันให้มีการใช้คอมพิวเตอร์มากขึ้น  คอมพิวเตอร์ในตอนนี้มีความเร็วมากกว่าเครื่องในตอนแรกเป็นล้านเท่า และความเร็วก็กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
      คำถามว่า  ความเร็วของคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มขึ้นจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน  จากกฎของมัวส์  (Moore's  Law) ที่ทำนายไว้ว่า   จำนวนทรานซิสเตอร์ใน ไมโครโพเซสเซอร์ จะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น เท่าในทุกๆ  18  เดือน  มันพิสูจน์ให้เห็นจริงแล้วว่าถูกต้อง   ถ้าเป็นไปตามความเร็วนี้  ปี  2020  หรือ  2030  วงจรอิเล็กทรอนิกส์ในไมโครโพเซสเซอร์  จะมีขนาดเล็กจนถึงระดับอะตอม    และเมื่อถึงตอนนั้นเราสามารถสร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ขึ้นใช้งานได้   ซึ่งมันใช้ความสามารถระดับอะตอม และโมเลกุล  เป็นตัวเก็บข้อมูล  และนำมาประมวลผล  ความเร็วของควอนตัมคอมพิวเตอร์จะมากกว่า  คอมพิวเตอร์ที่ทำจากซิลคิอนนับเป็นพันล้านเท่า
     นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ต้นแบบขึ้นสำเร็จแล้ว  แม้ว่าขณะนี้ มันเพียงแต่คำนวณตัวเลขง่ายๆได้   แต่ฟิสิกส์ราชมงคลเชื่อว่า  มันกำลังได้รับการพัฒนา จากนักวิทยาศาสตร์ชั้นยอดของโลก และ ไม่นานนักมันจะเป็นจุดเปลี่ยนของคอมพิวเตอร์ในยุคหน้า


ความหมายของควอนตัมคอมพิวเตอร์
      แนวคิดของควอนตัมคอมพิวเตอร์ก่อกำเนิดขึ้นเมื่อ  20  ปีที่แล้ว  โดยนักฟิสิกส์ชื่อ นาย   พอล เบนเนียบ (Paul  Benioff)  ผู้ซึ่งคนทั่วไปให้เครดิตเป็นคนแรกที่คิดขึ้นมาในปี  1981   นายเบนเนียบเรียกแนวคิดของเขาว่า  ควอนตัมเทอริ่งแมสชีน (Quantum  turing  Machine)   ซึ่ง คำว่า เทอริ่งแมสชีน  มาจากรากฐานของคอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่
       เทอริ่งแมสชีน  เป็นเครื่องจักรที่พัฒนาขึ้นโดย นาย อลัน เทอริ่ง (Alan  turing )  ในปี  1930   ภายในประกอบด้วยม้วนเทป  ใช้สำหรับบันทึกข้อมูล  และมีหัวอ่านข้อมูลเมื่อเทปวิ่งผ่าน  เป็นสัญญาณ กับ  1   และแปรสัญญาณไปควบคุมเครื่องจักรอีกทีหนึ่ง  โดยทำตามคำสั่ง ครั้งต่อ คำสั่ง
       ขณะที่ ควอนตัมเทอริ่งแมสชีน  ใช้พื้นฐานแบบเดียวกัน    เพียงแต่ลดหัวอ่านเทป  ให้มีขนาดเล็กลงอยู่ในระดับอะตอมแทน   ซึ่งในระดับขนาดเล็กแบบนั้น ไม่ต้องทำงานเป็นอนุกรมเหมือนกับสายเทป   และสามารถทำงานได้หลายคำสั่งในครั้งเดียว
       คอมพิวเตอร์ของเทอริ่งในยุคแรกทำงานอยู่ได้เพียง  2 สถานะ  คือ กับ  1    ส่วนควอนตัมคอมพิวเตอร์ไม่ได้จำกัดการทำงานอยู่เพียง สถานะนี้เท่านั้น  ในระดับควอนตัมเราเรียกสถานะใหม่ว่า คิวบิท (qubits)  ซึ่งสามารถแสดงสถานะ   1  หรือ ได้  หรืออยู่ระหว่าง กับ ได้ทุกๆค่า   หรือจะแบ่งซอยย่อยเป็นกี่พันกี่ล้านค่าก็ได้   คิวบิทคืออะตอมที่เป็นตัวเก็บ  และประมวลผลข้อมูล  ที่มีความสามารถอยู่ได้หลายสถานะในเวลาเดียวกัน
       สถานะอันมากมายของคิวบิท ทำให้ควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถทำการประมวลผลแบบขนานได้  ดังคำพูดของนักฟิสิกส์ นาย  เดวิด  ดอยส์ (David deutsch)  ที่ว่า การประมวลผลแบบขนาน  จะทำให้ควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถประมวลผลคำสั่งนับล้านคำสั่งได้ในครั้งเดียว  ขณะที่คอมพิวเตอร์ทั่วไป   ต้องทำทีละคำสั่ง  ดังนั้น ควอนตัมคอมพิวเตอร์ขนาด  30  คิวบิท  เมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์แบบเดิม  จะเทียบเท่ากับความเร็ว  10  เทราฟลอบ (Teraflops)  ซึ่งซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันที่มีความเร็วสูงสุด มีอยู่เพียง  เทราฟลอบ คือมากว่าถึง เท่า
        ควอนตัมคอมพิวเตอร์ใช้คุณสมบัติทางควอนตัมที่เรียกว่า เอนแทงเกิลเมนต์ (entanglement)  ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในระดับอะตอม โดยให้แรงภายนอกกระทำกับอะตอม  ตัวที่อยู่ใกล้กัน  จะทำให้เกิดการ เอนแทงเกิลขึ้น  แต่ถ้าอะตอมอยู่โดดเดี่ยว อะตอมตัวนั้นสามารถหมุนไปได้ทุกทิศทุกทาง  จากการทดลองกับอะตอมสองตัวที่อยู่ใกล้กัน โดยให้ตัวแรกหมุนไปในทิศทางหนึ่ง  ในขณะเดียวกันอะตอมที่สองจะหมุนไปในทิศตรงกันข้ามโดยอัตโนมัติ


อนาคตของควอนตัมคอมพิวเตอร์
       ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  ทรานซิสเตอร์เข้ามาแทนที่การทำงานของหลอดสูญญากาศ   จนเดี๋ยวนี้แทบไม่มีคนใช้หลอดสูญญากาศอีก  ลักษณะเช่นนี้จะเกิดขึ้นในอนาคต  ควอนตัมคอมพิวเตอร์ก็จะเข้ามาแทนที่ คอมพิวเตอร์ที่ใช้ชิพซิลิคอน  อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีในปัจจุบัน ยังไม่สามารถไปถึงจุดนั้นได้  การประมวลผลระดับควอนตัมยังต้องรอระยะเวลาอีกยาวไกล
        อย่างไรก็ตามในตอนนี้  นักฟิสิกส์สามารถสร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ขนาด  7 คิวบิทได้สำเร็จ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และสามารถคำนวณตัวเลขง่ายๆได้  ต่อไปนี้เป็นโครงการที่นักวิจัยกำลังดำเนินการอยู่
  • เดือนมีนาคม 2000  นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัย ลอสอลาโม  ประกาศว่า สามารถสร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ขนาด คิวบิท ภายในหยดของเหลวได้สำเร็จ หยดของเหลวประกอบด้วย  ไฮโดรเจน  อะตอม  และคาร์บอน  อะตอม  ควบคุมด้วยสนามแม่เหล็กจากเครื่อง NMR 
  • เดือนสิงหาคม  2000   นักวิจัยของ ไอบีเอ็ม  ได้สร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ขนาด  คิวบิท จากนิวเคลียสของอะตอมฟลูออรีนจำนวน  อะตอม โดยใช้คลื่นวิทยุทำการโปรแกรม และใช้เครื่อง  NMR  ตรวจสอบสถานะของอะตอม
     ถ้าควอนตัมคอมพิวเตอร์ถูกพัฒนาขึ้นมาใช้งานทั่วๆไปได้  ความเร็วของมันนั้นจะไม่มีจุดสิ้นสุด   มันจะมีความสามารถประมวลผลข้อมูลที่อยู่ในโลกนี้ทั้งหมดได้เพียงไม่กี่นาที   และมีความสามารถอันน่าทึ่งที่จะเจาะเข้าหาข้อมูลของคอมพิวเตอร์ทุกแห่งในเวลาเพียงเศษเสี้ยวของวินาที
      ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่กำลังรอประมวลผล เมื่อใช้ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ต้องใช้เวลาหลายเดือน  เมื่อมาใช้ควอนตัมคอมพิวเตอร์ใช้เวลาเพียงแว๊บเดียว  และการเคลื่อนย้ายมนุษย์ ที่เรียกว่า วิธีเทเลพอเทชั่น ก็สามารถกระทำได้ในเร็ววันนี้       

 

ความสำเร็จในการนำลีนุกซ์มาใช้ในองค์กร

 "มาทำความรู้จักกับเจ้านกเพลิง Firebird ดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์แบบโอเพ่นซอร์ส ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จขององค์กรธุรกิจ Label Industries"

 

ท่ามกลางเหตุการณ์รอบตัวเราที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่เหตุการณ์สงครามในประเทศอิรัก มหันตภัยจากโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ หรือมาตรการที่จริงจังในการปราบปรามสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ในบ้านเรา ล้วนส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของเราด้วยกันทั้งนั้นไม่ทางตรงก็ทางอ้อม แต่สำหรับมนุษย์คอมพิวเตอร์อย่างเราที่ต้องดูแลระบบไอทีในองค์กรให้สามารถ
ขับเคลื่อนไปด้วยความราบรื่นที่สุดยังคงต้องสวมบทบาทที่หนักอึ้งต่อไป โดยเฉพาะเมื่อปัญหาต่าง ๆ เริ่มส่งผลต่อเศรษฐกิจขององค์กรแล้ว ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สจึงเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้น และเป็นอีกหนึ่งความหวังที่จะนำมาเสริมสร้างระบบไอทีให้คงความแข็งแกร่งภาย ใต้เงื่อนไขด้านการลงทุน
Linux Success Story ฉบับนี้จะหยิบยกเอาองค์กรในภาคเอกชนอีกแห่งหนึ่งมาเป็นกรณีตัวอย่างกัน คือ บริษัท วงศ์เอกอุตสาหกรรม จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจในภาคอุตสาหกรรม
( Label Industries ) โดยลักษณะของกิจการแล้วมีความจำเป็นต้องอาศัยแรงขับเคลื่อนของฝ่าย คอมพิวเตอร์และไอทีไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการบันทึกจัดเก็บข้อมูลจำนวนมากในทุก ๆ ขั้นตอนของการดำเนินงาน รวมไปถึงเรื่องการสื่อสารทั้งภายในและภายนอกองค์กรด้วยระบบจดหมายอีเล็ก ทรอนิกส์
ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบสำคัญเกี่ยวกับกิจกรรมทั้งหลายที่เกี่ยว ข้องกับระบบคอมพิวเตอร์ สื่อสาร และการพัฒนาแอปพลิเคชั่นขึ้นภายในองค์กรนี้ คือ คุณมานะ ศฤงคารรัตนะ ซึ่งได้สละเวลาอันมีค่าขีดเขียนเรื่องราวบอกเล่าความสำเร็จในการนำลีนุกซ์ไป ใช้ในองค์กร โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลที่เป็นโอเพ่นซอร์ส ลองมาฟังเรื่องราวที่น่าสนใจนี้กันครับ

Linux กับ Interbase ส่วนผสมที่ลงตัว แนวความคิดที่เขียนบทความนี้ขึ้นมาเนื่องจากความรู้สึกที่อยากจะบอกความสำเร็จเกี่ยวกับใช้
ลี นุกซ์ภายในองค์กร ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน และใช้ได้ดีเสียด้วย ด้วยความที่เขียนบทความนี้ช้าไป(เนื่องจากปัจจุบันมีหนังสือ Linux ออกมามากมายทั้งไทยและเทศ ) แต่ด้วยความที่องค์กรของผมใช้มา 4 ปีแล้วมันจะเหมือนที่หนังสือทั่วไปเขียนก็เกินไปแหล่ะ เพราะการที่องค์กรพัฒนาแอปพลิเคชั่นขึ้นมาใช้เองโดยใช้ Clipper เมื่อ 10 ปีก่อน โดยมีฐานข้อมูลเป็น DBF และเครื่อง Client 25 ตัว Run บน Netware 3.12 ซึ่งผมขอยกย่องให้เป็นที่สุดแห่งศตวรรษ เพราะในความคิดของผม Windows NT/2000 วิ่งเป็น File Server ก็ยังสู้ Netware ไม่ได้ อันนี้จากการประสบการณ์จริง จวบจนปัจจุบันจำนวนของ Client ได้เพิ่มขึ้นเป็น 100 กว่าตัว และ Linux Server อีก 6 ตัว แบ่งเป็น Database Server 1,File Server for Mcintosh 2,Mail Server 1,SMB Server 1 และ Backup Server 1
นับจากวันที่ Netware และ Clipper ต้องจากไป เนื่องจากสภาพสังคมในปัจจุบันสภาพการใช้งานต้องยอมรับว่าไม่ว่าเด็กหรือ ผู้ใหญ่จะใช้ Windows เป็นและสอนไม่ยาก ผมในฐานะผู้พัฒนา Application ในสภาพแวดล้อมแบบ DOS ก็ถูกบีบให้ย้ายจาก Clipper ไปสู่ Windows ก็ทำให้ได้ทดลองตัว Developer หลายตัวเลยที เดียวโดยยึดหลักที่ว่าต้องนำความรู้จาก Clipper มาพัฒนาต่อ เพื่อที่จะ Port เอาโปรแกรมเดิมที่เขียนไว้ขึ้นมารันบนระบบ Windows แต่สุดท้ายความฝันสลาย ถ้าผมยังยึดหลักการนี้ผมคงจะหา Application Developer ดีๆสักตัวคงยาก ถ้ายังยึดติดกับ Clipper ผมคงไม่อยากบอกเหตุผล เดี๋ยวเรื่องจะยาวกันไปมาก เป็นอันว่าผมมาจบลงที่ Delphi ซึ่งเป็น ค่าย Borland คราวนี้มีปัญหาให้ขบคิดกันต่อเนื่องจากเราต้องเลือก Delphi สำหรับการเขียนโปรแกรม คำถามต่อมา "แล้วอะไรคือ Database ที่จะเก็บข้อมูล" ซึ่งตอนนั้นเราเลือก Interbase เพราะองค์กรของเรามีเงินจ่ายลิขสิทธิ์ และ Interbase ที่เราเลือกก็เป็นเวอร์ชั่นที่ซื้อน่ะครับ (ตอนนั้นยังไม่รู้จัก MySQL ,PostgreSQL เลย) แต่ยังสองจิตสองใจระหว่าง Interbase กับ MS SQL Server แต่คิดว่าในเมื่อ Borland พัฒนา Delphi+Interbase ก็น่าจะเป็นสิ่งที่เข้ากันได้ดีเพราะ Interbase ทาง Borland ก็เป็นผู้ผลิต ประกอบกับที่ผมศึกษาคุณสมบัติของ Interbase ( จะได้กล่าวภายในตอนหลัง ) คิดว่าน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดตอนนั้น และก็ยังไม่เลือกโอเอสเป็นลีนุกซ์ เนื่องจากตอนนั้นเป็นปี คศ.1999 ผมก็ยังคิดจะเลือกใช้ Windows NT เป็น Server เพื่อวิ่ง Interbase ผลจากการสอบถามผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Database Server หลายท่านให้คำตอบเหมือนกันดังนี้ คือการใช้ Windows NT รัน MS SQL เป็น Server นั้นจะต้องเขียนโปรแกรมเป็นในรูปแบบ Application Server(Multi-tiers) เท่านั้นถึงจะ run ได้ดี เพราะถ้าเขียนแบบ two-tiers Windows NT จะรับงานไม่ไหว อาการตอนนั้นรู้สึกเป็นกังวลมากเนื่องจากแค่เปลี่ยนแนวการคิดจาก DOS Environment มาเป็น Windows Environment ก็แทบจะกระอักเลือดอยู่แล้ว ยังต้องมาเรียนที่มัน Advance ขึ้นไปอีก แต่ก็มีทางเลือกอีกทาง คือ ถ้าต้องการให้ รันได้แบบที่ผมต้องการ จะต้องติดตั้ง Database บน Linux ซึ่งนั่นจึงเป็นที่มาของเรื่องราว Interbase บน Linuxของผม อ้าว…ที่พูดมานี่ไม่เห็นเกี่ยวกับ Open Source/Free Software ตรงไหน ตอนที่ผมใช้มันไม่ฟรี และผมก็ซื้อมาใช้เหมือน Database ค่ายอื่นๆนั่นแหละ แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น Borland ประกาศแจกจ่าย Interbase ฟรีในปี ค.ศ. 2000 ผมเองรู้สึกเกิดอาการวูบพอสมควรเนื่องจากซื้อมาได้ประมาณปีเศษ ( เท่าที่จำได้ ) ซื้อมาฟรีเหรอนี่ แต่ทาง Borland ก็มี Version ที่จำหน่ายอยู่ด้วย ในขณะที่ทางเวอร์ชั่นที่เป็นโอเพ่นซอร์สจะดำเนินการโดยกลุ่ม Firebird ซึ่งทำให้ Interbase ในปัจจุบัน ถูกพัฒนาเป็น 2 แนวทางคือ Borland Interbase และอีกทางเป็น Firebird Interbase ดังนั้นสิ่งที่จะพูดหลังจากบรรทัดนี้ไปผมจะหมายถึง Firebird Interbase เท่านั้น

คุณสมบัติของ Firebird คุณสมบัติที่ผมกล่าวถึงนี้อาจจะไม่ตรงตามตำราเท่าไหร่นัก เนื่องจากเป็นคุณสมบัติบางส่วนที่ผมชอบและใช้อยู่ ถ้าต้องการหาข้อมูลเพิ่มเติมไปที่ http://www.ibphoenix.com
  1. อย่างทีผมกล่าวไปในตอนต้น คือมันสามารถรันได้หลาย Platform มานานแล้วอย่างน้อยก็ตั้งแต่ปี 1999 ที่ผมเริ่มใช้ สำหรับโอเอสที่รันได้มี linux ,windows ,netware ,solaris ,freebsd ,HP-UX ,AIX ,Win CE สุดท้ายตามด้วย Mac OS ตัวสุดท้ายนี่ผมถือว่ามันเป็นสุดยอดแห่ง Platform จริง ๆ
  2. ผ่านการรับรองมาตรฐาน SQL-Standard ANSI-92
  3. มี Trigger และ Store Procedure ให้ใช้เป็นการลดการ Programming ไปได้มาก และทำงานได้รวดเร็วมากขึ้น
  4. ไฟล์ของ Database เป็นแบบเดี่ยว หมายถึง เราสร้าง Database test ขึ้นมา เราจะได้แฟ้ม test.gdb มาหนึ่งตัว ซึ่งภายในจะประกอบไปด้วยหลาย ๆ Table เวลาจะ Move ไปไหนจึงช่วยให้ไม่หลงลืม
  5. สามารถ Split File ได้ เช่น ไฟล์ฐานข้อมูลมีขนาดใหญ่เกิน 2 GB บน Linux จะไม่สามารถ handle ไฟล์ได้เกินกว่า 2 GB ( Linux รุ่นเก่าหน่อย ) เราสามารถแยกไฟล์ออกเป็นไฟล์ย่อย ๆ ได้ เช่น สมมุติว่า test.gdb ขนาด 5 GB เราสามารถแตกออกเป็น test.gdb ขนาด 2 GB, test.gd0 ขนาด 2 GB และ test.gd1 ขนาด 1 GB ได้ แต่เวลา Run จะมองผ่านไฟล์ test.gdb เพียงตัวเดียว เมื่อถึงข้อมูลที่ต้องมองในลำดับถัดไปมันจะทำงานเอง
  6. ระบบ Backup Online คือ เราสามารถ Backup ได้ในขณะที่ผู้ใช้กำลังใช้งานอยู่ อันนี้ผมชอบเพราะมันดีกว่า DOS มากเลย
  7. บน Linux สามารถ Run ได้ทั้งแบบ Classic หรือ Super Server แต่ถ้าหากใช้ Windows จะทำได้เฉพาะแบบ Super Server เท่านั้น ซึ่งการ Run แบบ Classic หมายถึง user connect เข้า gdb มาจะนับ 1 process ส่วนแบบ Super Server จะรันเพียงโปรเซสเดียวแล้วไปแตก thread ภายใต้โปรเซสอีกที จากประสบการณ์ บน Linux การรันในแบบ Classic จะทำงานได้รวดเร็วกว่า Super Server มาก แต่ข้อเสีย คือ จะต้องสิ้นเปลืองหน่วยความจำมากเช่นกัน
  8. การโอนข้อมูลไปมาระหว่าง Windows กับ Linux ทำได้สะดวก ในกรณีที่มีการแอกเซสข้อมูลของ Interbase บนเครื่อง Windows แล้วอยากจะนำไปวิ่งบน Linux ถ้าทำตามสูตร คือ ต้อง Backup ที่ Windows ก่อน เสร็จแล้วต้องนำมา Restore บน Linux จากการทดสอบ ผม Copy ไฟล์เข้า Linux ก็สามารถทำงานได้เลยเช่นกัน
  9. มีเครื่องมือต่าง ๆ ในการสร้าง Firebird Database มากมาย ทั้งฟรีและไม่ฟรี ไปเสาะหากันได้ที่เว็บไซต์ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น หรือจะพิมพ์สั่งที่เซิร์ฟเวอร์โดยใช้ SQL Command โดยตรงก็ได้
วิธีการติดตั้ง สุดแสนง่ายครับ ใช้ คำสั่ง rpm -Uvh FirebirdCS-1.0.0-nnn.i386.rpm ประมาณไม่เกิน 1 นาที ก็เรียบร้อย สามารถใช้งานได้เลย เพียงแต่อาจจะต้องมีการแก้ไขคอนฟิกนิดหน่อย สำหรับกรณีที่มี Client จำนวนมาก ๆ เข้าไปที่ไฟล์ /opt/interbase/isc4_config ปรับแก้ตาม Parameter ที่ต้องการ แต่ถ้า Client ไม่มากนักก็ไม่ต้องแก้อะไร สามารถใช้งานได้เลย เรียกคำสั่ง setup ไป set service firebird ให้เริ่มทำงานทุกครั้งที่เปิดเครื่องเท่านี้ก็จบ วิธีการเซ็ต Interbase ผมว่าง่ายมากครับ ทำตามเอกสารแบบ PDF ที่ให้มาคงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นสมัยก่อนจะติดตั้งยากกว่านี้สมัยพอสมควร เอกสารมีให้เพียบพร้อม สาเหตุมันเคยเป็น Commercial version มาก่อนจึงมีเอกสารให้ทุกอย่างพร้อมอยู่ในนั้นอยู่แล้ว สิ่งที่ควรรู้หลังจากการติดตั้ง
การ Start/Stop Service โดยใช้คำสั่ง Start > /opt/interbase/bin/ibmgr -start -user -passwd
Stop > /opt/interbase/bin/ibmgr -stop -user -passwd
การ Backup & Restore Backup> /opt/interbase/bin/gbak -b -g -v <source dir> <target dir>
Restore> /opt/interbase/bin/gbak -r -v <source dir> <target dir>
การ Config เบื้องต้น V4_LOCK_MEM_SIZE = XXX เพิ่มให้มากกว่าเดิมกรณีมี Client จำนวนมาก ANY_LOCK_MEM_SIZE = XXX เพิ่มให้มากกว่าเดิมกรณีมี Client จำนวนมาก พูดถึงฮาร์ดแวร์บ้าง เครื่องที่ใช้เป็น Database Server ( Firebird ) นี้ใช้ฮาร์ดดิสก์ขนาก 36 GB จำนวนทั้งสิ้น 3 ตัว และมีเป้าหมายที่จะใช้จัดเก็บเอกสารที่เป็นไฟล์แบบงานผลิตที่เป็นกราฟฟิกส์ ที่มีขนาดใหญ่ ( ถ้าได้ไปอ่านที่ newsgroup ที่ให้ไว้ข้างต้นมีคนเก็บ ขนาดของ Database ถึง 200 GB ) โปรเซสเซอร์ Pentium หน่วยความจำ RAM 3 GB และจัดเตรียม Swap Partition ไว้ 6 GB ซึ่งขณะนี้ Swap ใช้ในสภาพโหลดสูงสุดประมาณ 2 GB จะทำให้อืดไปบ้าง แต่ยังพอยอมรับได้ ถ้าเพิ่มหน่วยความจำ RAM ความเร็วก็จะเพิ่มขึ้นมาแต่ก็ไม่ถึงแตกต่างกันมาก ( เคยลองแล้วไปหยิบเครื่องอื่นมาใส่ ) แต่อย่าเพิ่งตกใจว่าสเปคจะต้องมากขนาดนี้คุณมี RAM 512 MB ก็เพียงพอต่อการตอบสนองทั่วไป ตอนเริ่มต้นผมก็ใช้ 512 MB เท่านั้น ซึ่งขณะนั้นจำนวน Client มีประมาณ 50 ตัว ปัจจุบันมีกว่า 100 ตัวแล้ว จึงจำเป็นต้องปรับปรุงกันบ้าง สถานะการณ์ปัจจุบัน ปัจจุบัน Firebird พัฒนามาที่ Version 1.02 Release เมื่อ December 18,2002 แต่มีตัว Beta 1.5 ให้ทดลองใช้ ( Test Released ) ส่วน .NET ก็มีให้ใช้ด้วย ลองไปเล่นดูนะครับ ผมใช้มา 4 ปีแล้วทำงานได้เร็ว เสถียร ในสภาวะที่มี client มากกว่า 100 ตัว แต่ละตัวเปิด Connection ไปยัง Database Server ประมาณ 3 Connection โดยรวมแล้วมี Connection ที่ต่อเข้าไปเกือบ 500 connection นับว่าเป็น Connection ที่มากพอสมควร ตอนนี้ผมยังใช้ Application Developer ที่เป็นลิขสิทธิ์อยู่ แต่ท่านใดอยากจะใช้ตัวพัฒนาแอปพลิเคชั่นที่เป็น Open source เช่น PHP โดยรันที่เซิร์ฟเวอร์ส่วน Client ก็มีเพียง Web Browser เท่านั้นก็สามารถจะประหยัดไปให้องค์กรได้มาก เพราะ PHP มีฟังชั่นที่สนับสนุนการเรียก Interbase ได้โดยตรงโดยไม่จำเป็นต้องใช้ ODBC ถึงเวลานี้แทบจะบอกได้เลยว่าการนำ Linux และ Interbase Firebird มาใช้งานสามารถช่วยประหยัดให้องค์กรได้มาก โดยแท้จริงถึงแม้ว่าองค์กรของผมจะมีกำลังซื้อ เพราะคำว่า "ถูก เร็ว ดี " ถือว่าเป็นมนต์เสน่ห์ของเจ้า Firebird นี้ ลองคำนวณเล่นๆดูน่ะครับว่า ถ้าใช้ Database ที่มีลิขสิทธิ์ 100 Clients จะเป็นมูลค่าเท่าไหร่ Database License แบบถูกๆก็ประมาณ 5000 บาทต่อ client แล้ว ถ้า Linux ทำภาษาไทยได้ดีกว่านี้ป่านนี้ผมคงใช้เงินลงทุนกับ Software น้อยกว่านี้มาก เมื่อท่านอ่านบทความนี้จบ ขอให้ Firebird เป็นทางเลือกอีกทางสำหรับ ทุก ๆ Platform ที่ผมกล่าวถึง ( MySQL ไม่ฟรีบน windows) เลือกสิ่งที่เหมาะที่สุด.. ฟังการบอกเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการนำลีนุกซ์มาพัฒนาระบบฐานข้อมูล ภายในองค์กรของคุณมานะแล้ว คิดว่าคงช่วยให้ท่านผู้อ่านได้เห็นภาพการประยุกต์ใช้ลีนุกซ์และซอฟต์แวร์โอ เพ่นซอร์สได้ชัดเจนยิ่งขึ้นนะครับ โดยเฉพาะในเรื่องของดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ได้มีเพียง MS Access ,MS SQL ,MySQL หรือ PostgreSQL เท่านั้นอีกต่อไป แต่อย่างไรก็ตามดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์ตัวไหนที่เหมาะสมกับองค์กรของคุณ คุณเท่านั้นที่จะต้องหาคำตอบ แล้วคุณจะได้ทราบว่าบางครั้งราคาอาจจะไม่ใช้เครื่องตัดสินคุณค่าของทุกสิ่ง เสมอไป
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
www.ibphoenix.com

เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ IBPhoenix และ Firebird
http://firebird.sourceforge.net

แหล่งเผยแพร่ข้อมูลของ Firebird ในฐานะ Open Source Software
news.atkin.com หรือ http://www.cvalde.com/misc/interbaseNewsgroups.htm

Newsgroup ของ Interbase
http://www.mysql.com/information/features.html
ลองเปรียบเทียบคุณสมบัติด้านต่าง ๆ ของดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์ได้ที่เว็บไซต์นี้

 

Design by zaza